ในวงการฟุตบอล งานผู้จัดการทีมมีความสำคัญมากๆ ไม่ใช่แค่การวางกลยุทธ์เท่านั้น แต่พวกเขายังต้องเลือกนักเตะที่เหมาะสม และอาจจะมีการปรับเปลี่ยนแท็กติคในช่วงระหว่างเกม เพื่อให้ทีมกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง โดยความรับผิดชอบเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีผลต่อชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ได้เลย
ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะกุนซือยังต้องแบกรับหน้าที่ค้นหาดาวรุ่งพรสวรรค์สูง และพัฒนาพวกเขาให้ก้าวขึ้นมาเป็นยอดนักเตะ รวมไปถึงการแบ่งรับความคาดหวังมหาศาลจากแฟนบอลของพวกเขาด้วย อย่างไรก็ตาม บางสโมสรที่ไม่ได้มีสถานะการเงิน และการสนับสนุนมากนัก แต่พวกเขาสามารถพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่จนทำให้ทีมกลายเป็นสโมสรที่แข็งแกร่งในวงการลูกหนัง
ที่สำคัญบรรดาทีมที่มีเบี้ยน้อยหอยน้อย และมีขนาดเล็ก สามารถเอาชนะทีมใหญ่ๆ และคว้าแชมป์รายการสำคัญได้ไม่ว่าจะในลีก หรือในยุโรป ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะพวกเขาเอาชนะทีมอย่าง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และอีกหลายๆ ทีม
แน่นอนว่าความสำเร็จของสโมสรเล็กๆ ส่วนหนึ่งมาจากมันสมองมันปราดเปื่องของกุนซือที่มีแท็กติคเน้นเกมรับเหนียวแน่น และเกมบุกที่เฉียบคม ซึ่งนี่คือสูตรสำเร็จที่สำคัญมากๆ ในการผงาดคว้าแชมป์ที่ยิ่งใหญ่
1. โชเซ่ มูรินโญ่ (เอฟซี ปอร์โต้)
มูรินโญ่ ประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ร่วมกับ เอฟซี ปอร์โต้ เมื่อฤดูกาล 2003-04 เขาเคยเป็นแค่คนธรรมดาในฐานะแค่ล่ามแปลภาษาตอนอยู่กับเอฟซี บาร์เซโลน่า และจากนั้นก็สั่งสมประสบการณ์จนมีโอกาสได้ทำงานเป็นเฮดโค้ชให้ยอดทีมแดนโปรตุเกส
ชัยชนะเหนือ โมนาโก 3-0 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับบรรดาลูกทีมที่มาจากยุคทองลูกหนังแดนฝอยทองอย่าง วิคเตอร์ บาย่า รวมไปถึงนักเตะอนาคตไกลพรสวรรค์สูง (ในเวลานั้น) อย่าง ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ และ เปาโล แฟร์ไรร่า นอกจากนี้ยังมี เดโก้ ซึ่งเล่นได้หลากหลายในแผงมิดฟิลด์
นอกจากนี้ ปอร์โต้ชุดนั้นเป็นทีมที่เน้นเกมรับเหนียวแน่นซึ่งทุกๆ ทีมที่ มูรินโญ่ ไปคุมก็เล่นสไตล์นี้ พวกเขาเสียแค่ 4 ประตูเท่านั้นในรอบน็อกเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลดังกล่าว หลังจากประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ชนิดที่ไม่มีใครอยากเชื่อ ก็ถึงเวลาที่ "เฮียมู" ต้องออกเดินทางต่อไป
จุดหมายปลายทางของเขาอยู่ที่ เชลซี ในซีซั่นถัดมา และดึงนักเตะคู่บารมีอย่าง คาร์วัลโญ่ กับ แฟร์ไรร่า มาทำงานร่วมกับเขาด้วย โดย มูรินโญ่ ประสบความสำเร็จมากมายมหาศาลในฐานะเทรนเนอร์ แต่จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ในฐานะ เดอะ สเปเชียล วัน มาจากปอร์โต้ นั่นเอง
2. ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ (แอตเลติโก มาดริด)
แอตเลติโก มาดริด เป็นแค่สโมสรไม่ได้ยิ่งใหญ่ในช่วงเวลานั้น และเครดิตทั้งหมดที่ทำให้ "ตราหมี" ก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำต้องยกให้ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ โดยเทรนเนอร์ชาวอาร์เจนไตน์ สามารถนำ แอต.มาดริด ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง แต่โชคร้ายเหลือเกินที่ต้องมาดวลกับ เรอัล มาดริด ทั้งสองครั้ง ทำให้พวกเขาเป็นเพียงแค่พระรองไปอย่างเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม แอต. มาดริด ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้การกุมบังเหียนของ ซิเมโอเน่ เมื่อเขานำสโมสรคว้าแชมป์ ลา ลีกา ประจำฤดูกาล 2013-14 โดยเอาชนะ "ราชันชุดขาว" และ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า สองมหาอำนาจลูกหนังแดนกระทิงดุ ได้อย่างสุดยอด
ซิเมโอเน่ เป็นกุนซือที่สร้างทีมด้วยการเน้นเกมรับที่เหนียวแน่น โดยเขามีนักเตะคู่ใจอย่าง ดีเอโก้ โกดิน, มิรันด้า, เฟลิเป้ ลุยซ์ , ฆวนฟราน และฆาบี โดยทีมชุดนี้ยังมีนักเตะทักษะสูงอย่าง อองตวน กรีซมันน์ และ ดีเอโก้ คอสต้า คอยไล่ล่าตาข่ายคู่แข่ง
สำหรับ กรีซมันน์ ซัดประตูไปแล้ว 118 ประตูจาก 226 เกมที่เล่นให้ แอต.มาดริด อย่างไรก็ตาม ซิเมโอเน่ เป็นกุนซือที่เน้นรากฐานแข็งแกร่งด้วยการมีเกมรับที่เหนียวแน่น ทำให้ทีมยากเสียประตู โดยตอนที่นำทีมคว้าแชมป์ลีก พวกเขาเก็บได้ 90 คะแนนจาก 38 แมตช์ และแพ้แค่ 4 เกมเท่านั้น และเสียประตูเพียง 26 ลูก
3. เคลาดิโอ รานิเอรี่ (เลสเตอร์ ซิตี้)
รานิเอรี่ ทำงานกุมบังเหียนมาแล้วหลายสโมสรรวมทั้ง ยูเวนตุส และ เชลซี แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เลย ก่อนที่เขาจะสร้างประวัติศาสตร์ชนิดที่ต้องบอกว่าช็อกโลก เมื่อนำ "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-16
เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกที่ได้ชื่อว่ามีการแข่งขันที่เข้นข้นที่สุดในโลก โดยพวกเขาสามารถเอาชนะทีมอย่าง "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้, "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี, "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ซึ่งความสำเร็จของ "เดอะ ฟ็อกซ์" ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังยุคใหม่
กุนซือเลือดมะกะโรนี ก็เหมือนกับ มูรินโญ่ และ ซิเมโอเน่ โดยสไตล์การเล่นของเขาเน้นเกมรับที่เหนียวแน่น อย่างไรก็ตามทีมชุดนั้นมีนักเตะคู่บุญของ รานิเอรี่ ทั้ง แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์, แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล และ คริสเตียน ฟุคส์ ขณะเดียวกันก็มีสองแข้งกุญแจสำคัญก็คือ เจมี่ วาร์ดี้ กับ ริยาด มาห์เรซ
มาห์เรซ เล่นตำแหน่งปีก และสามารถขยับเข้ามาเล่นมิดฟิลด์ตัวรุกก็ได้ โดยนักเตะคอยสร้างสรรค์เกมให้กับทีมนอกจากนี้ผลงานของเขายังมีอิทธิพลต่อหลายๆ ประตูที่ทีมได้ด้วย ส่วน วาร์ดี้ ต้องยอมรับว่าในช่วงเวลานั้นฝีเกือกคมมาก ยิงเป็นเข้า โดยเขาซัดไป 24 ประตูในเกมลีกซีซั่นดังกล่าว และติดหนึ่งในสามดาวซัลโวลีกด้วย
เลสเตอร์ เอาชนะทีมยิ่งใหญ่อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และเชลซี สร้างฤดูกาลแห่งความทรงจำมิรู้ลืมสำหรับแฟนบอล "เดอะ ฟ็อกซ์" และกระบวนการแห่งความสำเร็จของ รานิเอรี่ จะอยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล โดยพวกเขาแพ้แค่ 3 เกมจาก 38 แมตช์ และเก็บได้ 81 แต้ม โดยทิ้งห่าง อาร์เซน่อล อันดับ 2 ถึง 10 คะแนน
แหล่งที่มา Page facebook : Inferno69club
โพสต์โดย : Aommy13541083 เมื่อ 19 พ.ย. 2561 10:56:07 น. อ่าน 534 ตอบ 0